Saturday, 22 March 2008

Half-Full ; Half-Empty

น้ำครึ่งแก้ว

 
 

ฝรั่งเค้าชอบถามว่า ในแก้วที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งนั้นๆ จริงๆมันเต็มอยู่ครึ่งถ้วย หรือ ว่างอยู่ครึ่งถ้วย ( Half Full - Half Empty) คนส่วนใหญ่มันมองเห็นว่า แก้วของตัวเองนั้นพร่องอยู่ครึ่งหนึ่ง ในขณะที่แก้วของคนอื่นนั้นเต็มอยู่ครึ่งเสมอ มันก็เกิดความทุกข์ ด้วยความอยากเป็นอยากมีอยากได้

 
 

ในขึ้นแรกถ้าเรามองได้ซะว่มันก็ครึ่งแก้วเหมือนกันหมด ไม่ว่างจะมองว่าเต็มหรือว่าง มันก็จะละความอิจฉาริษยา หรือความรู้สึกที่เป็นลบใดๆ เช่น ความโกรธ ความแค้น ลงได้ เพราะในระดับตื้นเราสบายใจที่รู้ว่า Noone's perfect และในระดับลึกเรารู้ว่า เค้า เรา มันก็สัตว์ในสังสารวัฏเดียวกันนี่แหละครับ

 
 

เมื่อคิดได้แล้วดังนี้ ก็จะละการเปรียบเทียบที่ทำให้เกิดทุกข์ และส่งผลให้ก้าวสู่ขั้นต่อไปสามารถลดขนาดของแก้วตนเองให้พอดีกับสิ่งที่มีอยู่ได้ เช่นนี้แล้วก็เกิดความสบายใจในความสันโดษนี้เอง

 
 

และถ้ายิ่งไปกว่านั้น อาจจะพร้อมที่จะเทน้ำออกจากแก้วของตัวเอง ไปรวมสู่อ่างน้ำใสที่ทุกๆคนสามารถดื่มกินได้เท่ากันหมดโดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ตัวกูของกูหายไปหมดสิ่น

 
 

สุดท้าย แก้วก็ไม่จำเป็น เหลือแต่ความว่างๆ ที่ปราศจากทุกข์ มีแต่ความสุข

 
 

เป็นไปได้ไหมหนอ ที่พระพุทธองค์ตรัวว่า นิพานัง ปรมัง สุขขัง นิพานัง ปรม สุญญัง คือ นิพานเป็นสุขอย่างยิ่ง และนิพพาน นั้นว่างอย่างยิ่ง เป็นเช่นนี้เอง

 
 

 
 

แทน  

 
 

ปล : อย่าลืมนะครับ เมื่อสามารถ'มองถูก ลดได้ เทออก' ได้ ก็สามารถทิ้งแก้วได้

 
 

 
 

 
 

 
 

แด่เธอ ผู้จากไป

ธรรมะสวัสดีครับ

 
 

 
 

วันนี้ผมเขียนเมล์ฉบับนี้ด้วยใจที่หนักอึ้งเลยทีเดียว

 
 

Case I

 
 

มันหนักตั้งแต่เห็นข่าวการจากไปของอาจารย์ ABAC ท่านหนีง ที่เลือกที่จะปลิดชีวิตตนเองจากที่สูง เห็นรูปในข่าวชัดเจนว่าเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดี อายุเพียงแค่ 23 ปี การศึกษาระดับปริญญาโท เกียรตินิยมจาก CU ตอนเรียนอยู่ก็ได้เป็นหลีfคณะ ครอบครัวก็มีฐานะ ขับ Benz Sport และมีหน้าที่การงานที่ดี เป็นครูบาอาจารย์เป็นกุศล เรียกว่าแทบจะสมบูรณพร้อมเลยทีเดียว

 
 

แต่ในความสมบูรณ์นั้น ก็มีความผิดหวังเรื่องความรัก ซึ่งพัฒนาเป็นทุกข์ เครียด จนถึงที่สุดแห่งความอดทนของหัวใจ จึงตัดสินโดดตึก 10 ชั้นลงมาเสียชีวิต

 
 

ข่าวนี้มากระทบ ทำให้ธรรมกระเทือนจริงๆครับด้วยเหตุผลหลายๆประการ

 
 

Case II

 
 

หลายๆท่านอาจจะจำข่าวได้เมื่อสี่ห้าปีก่อนมีข่าวนักศึกษาสาวจากคณะนิติศาสตร์ กระโดดตึกธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่ เสียชีวิต เธอเป็นคนสวย เรียนดี เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆและคนรอบข้าง แต่ด้วยความกังวลว่าการเรียนของเธอจะไม่ได้ดีอย่างที่เป็นมา ทำให้เครียด จนถึงเลือกที่จะจบชีวิตเช่นนั้น

 
 

เธอคนนั้นชื่อ 'อ้อ' เธอเป็นเพื่อนของผมเองครับ หรือจะพูดอย่างโหดร้ายด้วย Tense ของฝรั่ง เธอ'เคย' เป็นเพื่อนของผม แต่ตอนนี้เธอไม่อยู่แล้ว จริงๆแล้วเราไม่ได้สนิทอะไรกันมาก แต่ด้วยความที่โรงเรียนมีนักเรียนไม่มาก จึงทำให้เห็นหน้าตากันตลอด และด้วยเธอเป็นคนสวยจนจะเรียกว่าเป็นดาวก็ได้ เลยทำให้อดชื่นชมในบุญที่เธอสร้างไว้ไม่ได้ ที่ส่งผลให้มีความสมบูรณ์พร้อมในเกือบทุกด้าน ... เหมือนอาจารย์ท่านนั้น

 
 

มรณานุสติ

 
 

สองเหตุการณ์นี้ทำให้ผมฉุกคิดถึงความตายครับ ว่าช่างมาเคาะประตูเราทุกคนได้อย่างไม่ทันตั้งตัวจริงๆ มิน่าเล่า พระพุทธองค์จึงทรงถามพระอานนท์ว่าระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง และเมื่อพระอานนท์ทูลว่า 7 ครั้ง พระทศพลมิได้โมทนาสาธุการด้วย แถมยังตรัสต่อว่าน้อยไป องค์ท่านเองพระตถาคตนั้นระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกเราควรหมั่นเจริญมรณานุสติให้มาก เพราะเราอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้

 
 

และที่สำคัญ หากปราศจากสติแล้ว จิตดวงสุดท้ายที่ออกจากร่าง ที่จะนำเราไปเกิดในภพภูมิใหม่ อาจจะเศร้าหมอง พระองค์ทรงเปิดเผยถึงความลับของความตายและการเกิดใหม่ไว้ว่า

 
 

'จิตเตสังกะลิตเฐ ทุกขติปฏิกังขา' เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุกข์คติเป็นอันหวังได้

 
 

เช่นนี้แล้วดวงจิตของอาจารย์ท่านนี้ และเพื่อนอ้อ จะต้องได้รับทุกขเวทนาอยู่ในภพใดหนอ !

 
 

 
 

กลับมาที่ตัวผู้เล่า

 
 

ผมเองคุ้นเคยกับความตายอยู่ไม่น้อย ด้วยความที่คุณย่าที่อยู่บ้านเดียวกับผมเป็นหมอ คุณแม่ก็ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จึงวิ่งเข้าวิ่งออกในโรงพยาบาลเห็นความเจ็บความป่วย และบางทีก็แอบวิ่งไปในห้องที่นักศึกษาแพทย์เค้าใช้เรียนกายวิภาคกัน ใช่ครับห้องที่มีอาจารย์ใหญ่ที่นอนอยู่บนโต๊ะเยอะๆนะแหละครับ ผมเข้าไปครั้งแรกตั้งแต่ยังไม่สิบขวบเลย โตมามีจุฬาวิชาการฯใกล้ๆโรงเรียนก็ไปเยี่ยมเยียนห้องเดียวกันของโรงพยาบาลจุฬาฯอยู่ เห็นเลยครับว่าความงามนั้นเพียงแค่ผิวหนังจริงๆ ลอกพรึ่ดออกมาก็แดงๆเละๆเหมือนกันหมด

 
 

พอไปอยู่เมืองนอก ก็ได้ช่วยดูแลคนนั้นคนนี้หลายๆเชื่อชาติ ทั้งด้วยความเป็นเพื่อน หรือ ด้วยหน้าที่การงานเพราะผมเป็นผู้ดูแลนักเรียนในหอของมหาวิทยาลัยด้วย แล้วหลายๆเคสที่เจอก็เป็นเรื่องฆ่าตัวตายเช่นนี้ ส่วนตัวเองที่ต้องห่างบ้านไปอยู่คนเดียวเป็นสิบปี ก็มีจังหวะโอกาสที่จิตตก เศร้า ทุกข์ มากๆเช่นกัน

 
 

บางทีก็มีแอบแว๊บนะ ว่า ตายไปนี่ก็ดี มันจะได้จบๆเรื่องไปซะที !

 
 

 
 

หลงผิด

 
 

 
 

เห็นไหมครับ เมื่อขาดสติก็ถูกโมหะหลอกเอาซะแล้วว่าความตายเป็นปลายทางของชีวิต ลืมไปแล้วเรื่องที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องภพ เรื่องชาติสิ้น หวังหาทางออกจากทุกข์ จนลืมไปว่าไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง

 
 

ถึงตรงนี้ สัญญาเกิดระลึกถึงธรรมะของพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่น เป็นบทที่โดนใจอย่างแรง ท่านว่า

 
 

' แก้ให้ตกเน้อ

แก้บ่ตกคาพกเจ้าไว้

แก้บ่ได้แขวนคอต่องแต่ง

แก้บ่พ้นคาก้นย่างยาย

คาย่างยายเวียนตายเวียนเกิด

เวียนเอากำเนิดในภพทั้งสาม

ภพทั้งสามเป็นเฮือนเจ้าอยู่ '


 

 
 

ฟังกี่ครั้ง อ่านกี่รอบก็เตือนสติอยู่เสมอว่า ความทุกข์ ความสุข ความยึดมั่นต่างๆนั้น เป็นเหมือนปม ถ้าเราแก้ไม่ออกแล้วเนี่ย มันทำร้ายเรามหันต์ ชาติที่เสวยมันอยู่ก็ทุกข์ ตายไปแล้วมันยังดึงเรามาเกิด เกิดมาแล้วยังส่งผลให้อยู่ไม่เป็นสุขอีก

 
 

 
 

ถูกธรรมะสอน

 
 

 
 

เหตุการณ์สองอย่างนี้สอนธรรมผมหลายอย่างนะครับ

 
 

  1. บุญกุศล กรรมวิบาก ส่งผลได้พร้อมกัน

     
     

    ก่อนเจอธรรมะนั้น นึกว่าบุญบาปเป็นของแยกกัน เหมือนที่ว่าดวงขึ้น ดวงตกครับ คือดีก็ดีเลย ร้ายก็ร้ายเลย แต่ตอนมาดูลาดเลาที่วัดมเหยงคณ์ก่อนจะบวชนั้น เจอพระอาจารย์ประเทือง ผู้ทรงพระสุตันตปิฏกได้อย่างเป็นเลิศ ท่านสอนผมอย่างหนึ่ง และผมขอสรุปด้วยคำของตนเองว่า

     
     

    ' ทุกๆสัมผัสอันเป็นสุขสบาย นั้นเกิดจากบุญกุศล และ ทุกๆสัมผัสอันเป็นทุกข์ไม่สบายนั้นเกิดจากบาป '

     
     

    เช่นนั่งอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ การที่เราสามารถนั่งอยู่ตรงนั้นได้ สามารถรับทราบถึงความเย็นได้เพราะเส้นประสาทไม่พิการ ไม่มีใครมาไล่ที่ นั้นเป็นผลจากบุญที่ได้สั่งสมไว้ แต่หากในขณะที่นั่งอยู่นั้นเอง มีเสียงดัง หรือ กลิ่นเหม็นเกิดขึ้น เราไม่ชอบใจ นั่นแหละครับ คือ บาปวิบากที่เล่นงานเราอยู่

     
     

    เห็นไหมครับ สัมผัสทางกาย หรือ โผฏฐัพพะ นั้นรับบุญกุศล แต่ สัมผัสทางหู จมูกนั้น สามรถรับบาปวิบากได้พร้อมๆกัน

     
     

    อย่างสองกรณีข้างต้นก็เช่นกัน บุญหนุนในทุกๆทาง เว้นแต่วิบากส่งในบางเรื่อง จนเป็นปัจจัยให้เกิดเหตุอันน่าสลด และผลที่ตามมาที่ทุกคนไม่อยากให้เป็น

     
     

  2. บุญบาปมันก็เป็นเช่นนั้นเอง (ตถตา) ดังนั้นจึงไม่ควรประมาท

     
     

     
     

    คือ บุญและบาปก็ส่งผลไปๆมาๆอย่างต่อเนื่อง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีแก่นสาร ดังนั้นแล้ว เราไม่ควรยึดทั้งในบุญและบาป เพราะทางพ้นทุกข์นั้นอยู่เหนือบุญและบาป กล่าวคือ เมื่อบุญส่งเราเป็นสุขก็ไม่ยึดติด และ เมื่อบาปส่งเราเป็นทุกข์ก็ไม่ยึดถือ มีสติตามรู้ดูเบาๆในสภาวะทั้งสองอย่างไม่เข้าไปเสวยอารมณ์นั้นๆ แล้วเดี๋ยวทั้งทุกข์ทั้งสุข มันจะแสดงไตรลักษณ์ดับไปให้เราเห็นต่อหน้าต่อตา

     
     

    สรุปคือ ให้ละจากบาปเพื่อไม่เพิ่มเครื่องถ่วงขัดขวางการเจริญสติสมาธิ

     
     

    และหมุ่นสร้างบุญแต่ ก็ไม่หลงมัวเมาในบุญว่าเป็นกุญแจสู่ความหลุดพ้น


     

    สตินี้ต่างหากคือ ทางสายเอก !

     
     


     

     
     

  3. ทุกคนก็มีบุญและกรรม ดังนี้แล้วจะมาคิดร้ายต่อกันทำไม

     
     

    โลกที่เราอยู่นี้ ชื่นชมในความสามารถ ความงาม ความเป็น ความมี จนกระทั้ง 'หล่อสวยรวยเก่ง' นั้นกลายเป็นคุณลักษณะของสัตตบุรุษไปอย่างผิดเพี้ยน

     
     

    ทำให้คนไม่หล่อไม่สวยไม่รวยไม่เก่งถูกมองและมองตัวเองว่าเป็นประชากเกรด B ไปเสีย

     
     

    เดินไปทางไหนก็เห็นแต่สถาบันพัฒนาบุคลิกภาพ พัฒนาศักยภาพ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่น้อยนักที่จะเห็นสถาบันพัฒนาคุณความดีในจิตใจเกิดขึ้น วัด และ สถานที่ปฏิบัติธรรม ซึ่งทำหน้าที่นี้ คนก็เข้ามาน้อยกว่าสถานบันเทิง

     
     

    เมือเป็นเช่นนี้แล้ว เมล็ดพันธุ์ของความน้อยใจ เสียใจ อิจฉา ริษยา มันก็งอกในจิตใจ ในสังคมที่เต็มไปด้วยการเปรียบเทียบนี้

     
     

    แต่เหตุการณ์ทั้งสองข้างต้นนี้ ขี้ให้เห็นชัดเลยว่า หล่อสวยรวยเก่งนั้น ก็เป็นเพียงสภาวะธรรมหนึ่ง ที่เกิดจากบุญกุศล และไม่ยั่งยืน ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากสภาวะธรรมนี้ๆอยู่ก็ยังอยู่ในทุกข์ เช่นเดียวกับเรา และความทุกข์นั้น อาจจะมากกว่าคนธรรมดาๆเสียด้วย

     
     

     
     

    น้ำครึ่งแก้ว

     
     

     
     

    ฝรั่งเค้าชอบถามว่า ในแก้วที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งนั้นๆ จริงๆมันเต็มอยู่ครึ่งถ้วย หรือ ว่างอยู่ครึ่งถ้วย ( Half Full - Half Empty) คนส่วนใหญ่มันมองเห็นว่า แก้วของตัวเองนั้นพร่องอยู่ครึ่งหนึ่ง ในขณะที่แก้วของคนอื่นนั้นเต็มอยู่ครึ่งเสมอ มันก็เกิดความทุกข์ ด้วยความอยากเป็นอยากมีอยากได้

     
     

    ในขึ้นแรกถ้าเรามองได้ซะว่มันก็ครึ่งแก้วเหมือนกันหมด ไม่ว่างจะมองว่าเต็มหรือว่าง มันก็จะละความอิจฉาริษยา หรือความรู้สึกที่เป็นลบใดๆ เช่น ความโกรธ ความแค้น ลงได้ เพราะในระดับตื้นเราสบายใจที่รู้ว่า Noone's perfect และในระดับลึกเรารู้ว่า เค้า เรา มันก็สัตว์ในสังสารวัฏเดียวกันนี่แหละครับ

     
     

    เมื่อคิดได้แล้วดังนี้ ก็จะละการเปรียบเทียบที่ทำให้เกิดทุกข์ และส่งผลให้ก้าวสู่ขั้นต่อไปสามารถลดขนาดของแก้วตนเองให้พอดีกับสิ่งที่มีอยู่ได้ เช่นนี้แล้วก็เกิดความสบายใจในความสันโดษนี้เอง

     
     

    และถ้ายิ่งไปกว่านั้น อาจจะพร้อมที่จะเทน้ำออกจากแก้วของตัวเอง ไปรวมสู่อ่างน้ำใสที่ทุกๆคนสามารถดื่มกินได้เท่ากันหมดโดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ตัวกูของกูหายไปหมดสิ่น

     
     

    สุดท้าย แก้วก็ไม่จำเป็น เหลือแต่ความว่างๆ ที่ปราศจากทุกข์ มีแต่ความสุข

     
     

    เป็นไปได้ไหมหนอ ที่พระพุทธองค์ตรัวว่า นิพานัง ปรมัง สุขขัง นิพานัง ปรม สุญญัง คือ นิพานเป็นสุขอย่างยิ่ง และนิพพาน นั้นว่างอย่างยิ่ง เป็นเช่นนี้เอง

     
     

     
     

     
     

    บุญใดที่เกิดจากการคิด เขียน อ่าน เล่า ฟัง เมลล์นี้ ขอส่งให้ดวงจิตทั้งสองดวงที่เหตุการณ์ในชีวิตนั้น เป็นธรรมะเตือนใจผู้ที่ยังอยู่ให้หมั่นเจริญสติ และไม่ประมาทในความตายซึ่งอาจจะมาเยื่อนใครก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้

    ถ้ายังเสวยวิบากกรรมอยู่ ขอให้บุญนี้หนุนให้เจอแสงสว่างแห่งพระรัตนตรัยโดยไว เพื่อการปฏิบัติอันนำไปสู่ความพ้นทุกข์อันเป็นถาวรเทอญ

     
     

    แทน

     
     

     
     

    ปล อย่าลืมนะครับ 'มองถูก ลดได้ เทออก ทิ้งแก้ว'

     
     


     

     
     

     
     

Thursday, 20 March 2008

วัดป่าเชิงเลน

ธรรมะสวัสดีครับ ท่านผู้เจริญ

 
 

วันก่อนนึกขึ้นได้ครับว่า ตอนเราบวชเป็นพระเนี่ย สมณะโวหารที่ฟังแล้วประดับใจ เวลาเรียนผู้มากพรรษากว่า เราเรียนว่า 'ภันเต' แปลว่าท่านผู้เจริญ และ ผู้อ่อนพรรษากว่าว่า 'อาวุโส' แปลว่า ผู้มีอายุ ผมว่าเป็นการให้เกียรติกันมากๆทั้งสองฝ่ายนะครับ สิ่งดีๆเหล่านี้แม้นอกผ้าเหลืองแล้วนำมาใช้ก็น่าจะเป็นการดี ตรงกับธรรมเรื่องปิยวาจาในสังคหวัตถุ ๔ อันส่งเสริญการอยู่ร่วมกันอีกด้วย

 
 

 
 

วันนี้ขอนำกุศลมาให้โมทนาครับ เนื่องจากได้ไปทัวร์วัดป่ามาอีกแล้ว แต่คราวนี้ไปวัดป่ากลางกรุงครับ ที่ซอยจรัญฯ 37 หรือ ที่รู้จักกันในนามของซอยวัดเพลงวิปัสสนา

 
 

 
 

วัดป่าเชิงเลน

 
 

 
 

ตรงจากปากซอยเข้าไปลึกเอาเรื่องเลย หลายกิโลอยู่ครับ เราจะเจอ วัดป่าเชิงเลน ซึ่งเป็นวัดในสายของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่สมณศักดืที่ผมชอบมากเลยคือ พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์ วัดหินหมากเป้ง หนองคายครับ

 
 

เมื่อเข้ามาจนถึงวัดแล้วอาจจะงงๆนิดเพราะไม่มีป้ายชื่อวัดใหญ่ๆ ดังนั้นต้องควรสังเกตให้ดี ประตูเข้าวัดอยู่หลังสะพาน ซึ่งบางครั้งประตูนี้จะปิดอยู่ ถ้าไม่ได้ lock ก็ให้เข้าประตูคนเดินอ้อมมาเปิดให้รถเข้า หรือ กดออดถ้าถูกคล้อยสายยูอยู่ แล้วนำรถตรงเข้าไปจอดที่ริมน้ำ แล้วเดินเข้าไปที่ตัววัดต่อประมาณ 5 นาทีครับ

ชมธรรมชาติเล่นๆไปก็ได้ครับ เพราะคลองบางกอกน้อยส่วนนนี้น้ำยังใส ปลาเยอะ และมีบางส่วนที่เป็นทุ่งผักตบชวาเลย ร่มเย็นดี

 
 

ส่วนตัววัดนั้นก็ไม่ใหญ่มาก ถ้าเป็นนัก marketing ผมคงเรียกวัดนี้ว่า Floating Temple ครับ เพราะว่าตัวอาคารหลายๆหลังนั้นปลูกบนแพบน้ำ วัดสงบร่มเย็นมาก และคงความเป็นวัดป่าไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อว่ากรุงเทพจะมีวัดเช่นนี้อยู่ด้วย

 
 

ติดกับศาลาฉันก็จะมีพระพุทธรูปปางนาคปรก มองแว๊บเดียวก็ปิติ เพราะเป็นหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์จำลอง คู่บุญ หลวงปู่สอ พันธุโล อย่างแน่แท้ ซึ่งเป็นพระอริยะเจ้าผู้ผมเล็บได้กลายเป็นพระธาตุ แม้ท่านยังคงชีวิตอยู่ (และท่านมักจะมาโปรดโยมที่กรุงเทพ โดยพำนักที่บ้านเรือนไทยของคุณหญฺงสุรีพันธ์เสมอๆ )

 
 

เดินเข้ามาอีกหน่อยก็เห็นอุโบสถ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากศาลาเพราะว่า จริงๆแล้วก็คือ ศาลาโปร่ง ที่ปลูกอยุ่บนฐานของอุโบสถร้างเดิม ที่พระอาจารย์อุทัย ฌานุตฺตโม จาริกมาค้นพบและดำริให้สร้างวัดขึ้น ณ ที่เดียวกันนี้ ได้เข้าไปกราบพระในอุโบสถนี้ และรับถึงกระแสเย็นๆ มากทีเดียว

 
 

อ้อ ! สมณะจริตอีกอย่างที่เรียนมานะครับ คือ เวลาจะเข้าไปในพระอุโบสถนั้น ควรถอดรองเท้าไว้นอกใบเสมา เพราะหลังเสมานี้ไปแล้วเป็นเขตบริสุทธิ์ที่พระท่านใช้ประกอบสังฆกรรมทุกๆอย่าง เป็นการเคารพให้เกียรติสถานที่ครับ

 
 

 
 

พระอาจารย์ภัลลภ เจ้าอาวาส

 
 

 
 

เจอพระท่านเรียนว่า อยากมาขอธรรมและถวายทาน ท่านเลยให้ไปหาพระอาจารย์ภัลลภ อภิปาโล เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ซึ่งตอนที่ท่านไปเจอนั้นกำลังปัดกวากห้องเก็บของเลยทีเดียว พระอาจารย์นั้นผมเองได้พบและสนทนาอยู่บ้านในงานที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านมา แต่ไม่ได้ลึกซึ้งนัก ด้วยข้อจำกัดทางเวลา แต่ได้ขอโอกาสมากราบท่านที่วัดเพื่อสนทนาเพิ่มเติม อ้อ ! ท่านเป็นพระอุปฐาก ของหลวงปู่บุญฤทธิ์ ด้วยครับ จะเห็นท่านอยู่ข้างกายองค์หลวงปู่เสมอๆ และในเวลานั้นท่านมักจะมีท่าทีขึงขัง เพราะต้องดูแลธาตุขันธ์ของหลวงปู่ฯ

 
 

แต่วันนี้ท่านเปี่ยมด้วยเมตตา แนะให้เราไปรอที่ศาลา แล้วท่านก็ตามมาครับ วันนี้พาเพื่อนไป เพราะเพื่อนอยากเจริญพระกรรมฐาน ได้บวชเรียนสั้นๆ ๑๕ วัน แล้วที่วัดชลฯ แต่ไม่ได้เน้นทางด้านนี้มากนักด้วยบวชพร้อมกันเป็นหมู่คณะ และ เหตุปัจจัยหลายๆอย่าง

 
 

พระอาจารย์ภัลลภ ก็ได้เมตตา สอนเรื่องรู้เรื่องดูในการปฏิบัติ ตามแนวพระป่า อันมีสมาธิรู้กายรู้จิต ไม่ส่งจิตออกไปข้างนอก และได้กล่าวถึงความสำคัญของพระศาสนา ซึ่งปัจจุบันค่านิยมต่างๆมาทำให้คุณธรรมลบเลือนไป ท่านว่า

 
 

" เรื่องสิทธิมนุษยชนสมัยนี้มันถูกใช้จนกลายเป็นขัดต่อหลักพระศาสนา ด้วยพระพุทธเจ้าทรงสอนให้ละความเป็นตัวกู ของกู ความมีตัวตน แต่การอ้างสิทธืนั้น มันต้องมีตัว มีของตัวเป็นบรรทัดฐาน เลยทำให้สังคมอยู่ไม่เป็นสุขเช่นทุกวันนี้ไป "

 
 

ก็สะดุ้งไปเล็กน้อย ด้วยว่า ที่ไปด้วยกันก็นักกฏหมายทั้งนั้น ไม่ได้กราบเรียนท่าน แต่ท่านก็ยกข้อนี้ขึ้นมาสอน

 
 

ท่านก็เล่าว่า กำลังจัดห้องเก็บของเพื่อสองโอกาส หนึ่งเพื่อนำสังฆทานที่โยมมาถวายไปถวายต่อ ยังวัดป่าบ้านนาสีดา ที่บ้านผือ อุดร มาค้นทราบทีหลังว่าเป็นวัดของหลวงปู่จันทร์โสม ผู้เป็นหลานหลวงปู่เทสก์ เลยกราบโมทนาไปทั้งในจิตที่ไม่ยึดติดกับสิ่งของ และความกตัญญูต่อบูรพาจารย์ของพระอาจารย์ท่าน

 
 

โอกาสร่วมสร้างกุศล

 
 

  1.  
     

    นอกจากนั้นท่านยังจัดที่จัดทางไว้เพื่องานบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จเจ้าฟ้าในพระโกศฯ ในวันที่ 29 มีนานี้ เห็นเด็กๆที่จะมาบวชกว่ายี่สิบคนแล้วปลื้มใจครับ หลายๆคนมาจากอีสาน อยู่ใกล้วัดอยู่แล้ว จริยามารยาทนั้นงามจริงๆ

     
     

    สามารถร่วมเป็นเจ้าภาพบวชได้นะครับ ไม่กำหนดว่ารุปละเท่าไหร่ หรือจะมาถวายภัตตาหารเณรก็ไดด้ตามสะดวก แต่ทั้งหมดนี้ต้องนำมาด้วยตนเองครับ ไม่น่ายากเพราะอยู่ในเมืองนะครับ

     
     

  2.  
     

    เห็นว่าอยู่ในช่วงบูรณะศาลาหอฉัน ซึ่งเป็นอาคารที่ใช้แสดงธรรมด้วย มีที่รับบริจาคอยู่ครับ

     
     

     
     

    ก็ได้ร่วมสร้างกุศลนี้ พร้อมนำกัปปิยะภัณท์อันสมควรอื่นๆ และหนังสือหลายๆเล่มรวมทั้งหนังสือหลวงปุ่มั่นที่พี่เอื้อยให้มาไปถวายแด่สงฆ์

     
     

    บุญใดเกิดขอให้ทุกท่านได้รับบุญนี้ไปด้วย

     
     

  3.  
     

    ที่วัดไม่ได้ทำวัตถุมงคล แต่เห็นว่าได้รูปปั้นหลวงตาบัวขนาด 3 - 5 นิ้วมา 20 รูป พระอาจารย์ท่านเลยให้ออกมาเพื่อโยมได้บูชาไปโดยปัจจัยที่ได้ทั้งหมดจะนำไปเปลี่ยนเป็นทอง ถวายหลวงตามหาบัว ในงานกฐินปีนี้ เห็นว่าลูกศิษย์ท่านตั้งไว้ที่ 2500 - 5000 บาท เพราะทองเดี๋ยวนี้บาทหนึ่งก็ไม่ห่างจากหมื่นห้าซักเท่าไหร่

     
     

    ท่านบอกยิ่มๆว่า พระเราก็ขออาศัยสร้างบุญบารมีจากหลวงตาท่านเช่นกัน

     
     

    ความถ่อมตนของพระป่านี่ ตรึงใจจริงๆครับ

     
     

     
     

    มูลนิธิหลวงปู่มั่น

     
     

    ออกจากวัดกลับมาได้ครึ่งซอย ก็จะเจอมูลนิธิหลวงปู่มั่น ซึ่งในยามปกติก็ใช้เป็นที่พักของพระป่าอาพาธที่ท่านต้องมารักษาตัวที่กรุงเทพ และทุกๆวันอาทิตย์ต้นเดือนก็จะมีแสดงธรรมโดยพ่อแม่ครูบาอาจารย์จากทั้วสารทิศ เช่น พระอาจารย์เปลี่ยน จากเชียงใหม่ หลวงปู่ท่อนจากเลย เป็นต้น

    สามารถมาร่วมบุญค่ารักษาพยาบาล ฟังธรรม ฯลฯ ได้ครับ

     
     

    ในวันที่ 12 เมษา นี้ พระอาจารย์หลวงตามหาบัวจะได้โปรดแสดงธรรมเทศนา และรับผ้าป่าช่วยชาตินะครับ ขอแจ้งให้ทราบ

     
     

    อ้อ มีเรื่องขำๆอยู่ว่า แม่ชีที่มูลนิธิฯ ได้ขอให้ผมช่วย นำแผ่นประกาศเรื่องงานนี้ มาด้วย เพราะ มีคนศรัทธาทำมาให้ 300 แผ่น แต่มูลนิธิฯนั้นไม่สามารถกระจายออกไปได้หมด

     
     

    ผมเลยถือป้ายงานบุญยักษ์ไปที่ สยามทั้งสองฝั่ง ไป British Council ไปบน BTS ไป Amarin Plaza ไป หมอชิต ต่อ ตอนแรกๆก็เขิลใช่ย่อยเพราะป้าย ขนากตั้ง 2 * 1 เมตร ใหญ่มาก แต่พอจิตนั้นดับ เกิดความกล้า แล้วความอยากได้บุญมา เลยถือประกาศซะเลยครับ แหะๆ

     
     

     
     

    บุญใดเกิดขอถวายให้เทพเทวาทั้งหลายที่สถิตรักษาแผ่นดินสยาม รักษาพระพุทธศาสนา รักษาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน และพสกนิกรของพระองค์ครับ

     
     

     
     

    แทน

     
     


     

     
     


     

     
     

     
     

     
     

     
     


     

     
     

     
     


     

Monday, 17 March 2008

One for All, All for One

Dhamma Hola ครับ
,

 
 

ขอปนๆภาษาเพราะมีเหตุนะครับ

 
 

คือ เห็นในไวยาวัจมัย ของพี่ๆทุกท่านแล้วปิติยิ่งนักครับ

ยิ่งดูยิ่งเห็นความงามของกัลยาณมิตรธรรมครับ

 
 

นึกถึงคำฝรั่งที่ว่า

 
 

' One for All, All for One'

 
 

ของสามทหารเสือเลยนะครับ ซึ่งวันก่อนเห็นคุณพ่อผมซึ่งมีอารมณ์ศิลปินมาแต่ไหนแต่ไร ขีดเขียนคำนี้

และให้นิยามในแบบของท่านเองว่า

 
 

' จากหนึ่งจึงเป็นเรา รวมเราเขาเข้าเป็นหนึ่ง'

 
 

อ่านแล้วชอบมากๆเลยครับ และเห็นว่าสอดคล้องกับบรรยากาศวันนี้ยิ่งนัก

 
 

แต่.......

 
 

เอ จะบาปไหม ถ้าผมจะบอกว่า วันนั้นแอบเขียนต่อที่พ่อเขียนไว้

เลยกลายเป็น

 
 

' One for all,

All for One,

None '

 
 

' จากหนึ่งจึงเป็นเรา

 รวมเราเขาเข้าเป็นหนึ่ง

 แต่ธรรมอันลึกซึ้ง

 ไร้ซึ่งหนึ่ง ไร้ซึ่งเรา '

 
 

 
 

อิอิ

 
 

แทน

 
 

Pasted from <http://by113w.bay113.mail.live.com/mail/ApplicationMain_12.1.0069.1213.aspx?culture=en-US&hash=1496229294>

 
 

Sunday, 16 March 2008

แล้วเธอจะรู้ว่า ... ครูหวังดีกับเธอ

 
 

คำนี้คุ้นๆหูไหมครับ ก่อนหรือหลังโดนลงโทษ หรือโดนบ่นว่า คุณครูว่า จะมีคำนี้พ่วงท้ายมาเสมอๆ

 
 

เรื่องมีอยู่ว่า ในขณะที่พี่ๆไปสร้างกุศลกัน ผมถูกไข้หวัดฉุดรั้งไม่ให้ออกไปไหนเกินรั้วบ้าน ไม่ฉะนั้นแล้วคงได้แพร่เชื้อหวัดออกไปอีกสามเขตสามอำเภอแน่ๆ 

 
 

แทนที่จะนั่งดูจิตอย่างที่ผู้รู้ใจควรจะทำ ความเซ็งทำให้เปิดโทรทัศน์หมุนไปหมุนมา ปกติก็ดูข้างนอกไป ดูข้างในไป แต่มาเจอหนัง ชื่อ  "มอ 8" ที่พี่กาละแมร์ ที่เราแอบนิยมชมชอบ (ในความบ้า)เล่นเป็นครูมาดเข้ม และพี่ไก่มีสุข สุดหวาน เลยต้องดู แบบหลุดๆซะหน่อย

 
 

มอ8 เรื่องย่อ (Spoiler)

 
 

ภาพยนต์เรื่องนี้ เป็นเรื่องราวในโรงเรียนสมัยจอมพลท่านหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเข้มในการปกครองความสงบสุขของชาติบ้านเมืองมาก  โครงเรื่องคือ ครูและนักเรียนโรงเรียนสตรี ได้รับคำสั้งให้ไปร่วมกับโรงเรียนชายล้วน ในโครงการนำร่องโรงเรียนสหศึกษา ก็เป็นความวุ่นวาย กุ๊กกิ๊ก ตามบทหนังไทยครับ ที่ชอบมากคือ ภาษาฟังรื่นหูดี โบนิดๆ แต่สุภาพเรียบร้อย ชื่นใจดี

 
 

เรื่องดำเนินไป จนกระทั่งถึงจุด Climax ที่ครูกาละแมร์ต้องแสดงความเสียสละของความเป็นครู แม้ในใจเองก็ต้องชั่งตวงวัดในการรักษากฏ กับความรักที่มีต่อเด็กๆ จนยอมเป็นผู้ได้รับโทษซะเอง เรียกเอาน้ำตาเอิบได้ไม่น้อยเหมือนกัน

 
 

บางท่านไปดูแล้ว อาจจะว่าบทเฉยๆ แล้วทำไม๊ทำไม ทำเอาทิดอ้วนน้ำตาซึมได้ เว่อร์ไปไหม ?

 
 

จากหนังสู่ชีวิตจริง  (น้องขอโม้)

 
 

ก็คงต้องพาพี่ๆ ไปสู่โรงเรียนที่ทำให้ผมเป็นผมได้ทุกวันนี้ครับ ... สาธิต 'ทุมวัน

(โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ วิทยาเขตปทุมวัน - ส.มศว)

ซึ่งเป็นโรงเรียนเล็กๆ ใช้เนื้อที่ของจุฬาฯ ร่วมกับโรงเรียนเตรียมอุดมฯ

 
 

ความที่เป็นโรงเรียนเล็กๆ มีนักเรียนอยู่ไม่กี่พันคนนี่แหละครับ ทำให้ช่องว่างระหว่างครูกับนักเรียนค่อนข้างแคบ

 
 

ผมเริ่มเข้าโรงเรียนนี้ตอน ม.1 เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เรียกว่าเป็นเด็กเรียนใช้ได้คนนึง คือ ตอนนั้นโรงเรียนนี้รับน.ร.ใหม่ปีละ 400 คน โดยสอบเอง 100 นึง ส่วนโครงการต่างๆอีก 300 ผมบุญดีได้เป็นหนึ่งในร้อยกับเค้าด้วย (เลยไม่ต้องทำสัญญาว่าจะเรียนดี ... มีงี้ด้วยโรงเรียนผม) 

 
 

ความที่เป็นเด็กอารมณ์ศิลป์ (บางคนว่าเอาแต่ใจ) วิชาไหนผมชอบ ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนซะ ส่วนวิชาไหนไม่ตรงจริตเล๊ย ก็ไม่เอาไม่ทำมันซะเลย ผมเลยสมุดพกออกมาแปลกๆ เช่น ได้วิทยาศาสตร์ท๊อปชั้น (ตอนนั้นเรียนเรืองphysic) แต่เลข(ที่เค้าว่าง่ายกว่า) รุ่งริ่ง จนอาจารย์ต้องเรียนไปคุย ก็ตอบไปตรงๆว่าผมไม่ชอบ

ระดับการเรียนเฉลี่ยนจึงอยู่กลางๆแบบงงๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไร

 
 

ต่อเมื่อขึ้นเรียนในระดับม.ปลาย ซึ่งผมเลือกเรียนศิลป์ฝรั่งเศสและบอกลากับคณิตศาสตน์ไป จึงได้บุญหนุน และด้วยความเอาใจใส่ของอาจารยฺ ทำให้เรียนได้ที่หนึ่งของชั้นปีในทุกๆวิชา ยกเว้นวิชาเดียว......ช่ายแล้วครับ.....พละศึกษา (555) ในสมุดพก จึงได้มี 4 เป็นพรืด แต่ติด 2 มาหนึ่งตัวที่อาจารย์ให้มาด้วยความกรุณา ที่สาธิตนั้น ผู้ที่ได้ที่หนึ่งในชั้นปีก็จะได้รับโล่ห์เชิดชูเกียรติ ที่หอประชุมจุฬา ผมเคยแต่นั่งมองเค้า เลยได้โอกาสขึ้นไปรับ เช่นกัน

 
 

บางท่านบอกว่า เสียดายที่โล่ห์ต่างๆนั้นไม่ได้เป็น 4 ล้วน เพราะติดพละ ผมกลับมองว่า ได้แค่นี้ดีแล้วพอใจแล้ว แล้วก็สุขใจ มาเรียนทางธรรมจึงได้รู้ว่า ที่ท่านว่า "สันตุฏฐิง ปรมังทานัง - ความรู้จักพอ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง"  นั้นเป็นเช่นไร

 
 

เอ้าไหนว่าจะเล่าเรื่องครู มาโม้เรื่องตัวเองอยู่ได้ ! แหะๆ ขออโหสิครับ คือ ประสงค์จะปูพื้นไว้ก่อนเลยติดลม

 
 

อกุศลกรรมในวัยเด็ก

 
 

นั่นแหละครับ การที่ผมเป็นเด็กที่มีพัฒนาการ คงมีสีสันใช้ได้ และตัวใหญ่พอดู เลยสนิทสนมและได้รับความเมตตากับอาจารย์หลายๆท่าน ในขณะเดียวกัน ก็เป็นที่ไม่ชอบใจของอาจารย์บางท่าน โดยที่ผมไม่เข้าใจว่าทำไม สงสัยบุพกรรม หรือ การกระทำอะไรของเราคงไปขัดหูขัดตา

 
 

พอเราพ้นจากปกครองของครูท่านที่ไม่ถูกกันมา เพราะเลื่อนชั้นขึ้น เราก็สบาย( ความทุกข์มันไม่จีรังนะครับ) แต่ด้วยความเป็นเด็ก เราแอบแค้นครับ ว่าแหม เขม่นอะไรขนาดนั่น พอเราขึ้นไปรับรางวัลที เราก็ยืดรางวัลใส่ที อยู่หลายครังหลายครา ยอมรับครับ ตอนนั้น สะใจ ! (บาปหนอ บาป)

 
 

จนเวลาล่วงเลยไป ผมสอบเข้าได้มหาวิทยาลัยที่เลือกไว้เป็นอันดับหนึ่ง ก็ยังอยู่ระแวกนั้น แถมต่อมายังได้ทุนไปเรียนต่อ เราก็ยังหมั่นกลับไปหาครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ ไม่เคยลืมพระคุณครับ ส่วนความรู้สึกแค้นนั้นหายไปตามกาลเวลา (ไตรลักษณ์) เหลืออยู่ก็คือความรู้สึกว่า อยู่กันคนละโลกเถอะ เจอกันก็เลี่ยงๆซะ

 
 

สิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ผมได้โตขึ้น เห็นโลกกว้างมากขึ้น และได้เจอแสงแห่งพระธรรม เมื่ออัญมณีเหตุปัจจัยสุกงอม ผมตัดสินใจถึงเวลาบวช

 
 

ลาบวช

เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างพร้อม จึงได้ถือพานมาลัย พร้อมกรรไกร แล้วเดินทางกลับมาที่โรงเรียน มากราบครูบาอาจารย์ โดยเดินไปทั่วโรงเรียน ทุกห้องทุกชั้น กราบขออโหสิกรรม และขอลาบวชเข้าสู่ร่มพระศาสนาฯ

 
 

ประสพการณ์ ณ ตอนนั้นบอกไม่ถูกเชียวครับ อารมณ์หลากหลายมาก เช่น

 
 

เจออาจารย์พละที่เคยกร้อนผมของผมที่เคยยาวผิดระเบียบ มันแปลกๆจริงๆนะครับที่มาขอให้ท่านปลงผมให้ ในกาลนี้ แต่ที่ขำคือ แต่ก่อนนั้นตอนท่านลงโทษ จะตัดผมไปซะแหว่งเลย แต่พอมาขอให้ตัด ท่านกลับขลิบนิดเดียวเอง แถมทำหน้ายิ้มๆ เหมือนเห็นในความตลกตรงนี้ด้วย

 
 

ที่แปลกๆก็มี คือ ที่โรงเรียนจะมีศาลพระเคณศร์อยู่ ซึ่งนักเรียนโรงเรียนเราเคารพบูชามาก เพราะมีหลายเรื่องหลายราวในความศักดิ์สิทธิ และอิทธิปาฏิหารย์ของท่าน วันนั้นผมก็ได้เข้าไปถวายบายศรีขอลาบวช ในขณะที่อธิษฐานลาอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงกึกก้องเลยว่า "แทน แทน แทน" สามครั้ง จนทำให้ผมต้องสะดุ้ง แต่ก็หาที่มาของเสียงไม่ได้

 
 

วันนั้น อาจารย์หลายๆท่านก็เปิดกระเป๋าขอร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพ ซึ่งผมตอบไม่กล้ารับเพราะรู้ว่าพระคุณที่ท่านมอบให้นั้น มันมากมหาศาลกว่าเงินจำนวนไหนๆ แต่ท่านก็ยืนยัน มีท่านหนึ่งบอกด้วยเสียงเครือว่า

 
 

" ครูไม่ได้แต่งงานไม่มีลูก ไม่มีใครบวชให้ ขอให้ท่านได้ร่วมบวชผมเถอะ "

 
 

 ผมเลยตอบกลับไปว่า

 
 

" ใครว่าครูไม่มีลูก ผมนี่ไงครับลูกชายคนนึงที่จะบวชให้อยุ่นี่ไงครับ"

 
 

 ภาพน้ำตาที่อาบแก้มของอาจารย์ในวันนั้น ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจผมถึงวินาทีนี้ และระหว่างอยู่ในเพศพระผมได้กลับไปเทศน์ที่โรงเรียน ก็ได้เห็นน้ำตาของอาจารย์ท่านอีกครั้ง

 
 

อีกความประทับใจหนึ่งคือ มีอาจารย์ท่านหนึ่ง สอนภาษาอังกฤษ ท่านเป็น คริสต์ Catholic   ซึ่งเข้มงวดในศาสนามาก พอผมไปกราบขอให้ปลงผมให้ ท่านก็ยินดี แถมยังร่วมทำบุญมาด้วย ด้วยความที่เกรงว่าจะผิดต่อศาสนาท่าน และเกรงใจ ก็จะไม่ยอมรับ ท่านว่า

 
 

" ครูไม่เคยทำบุญอื่นเลยนอกจากในศาสนาคริสต์ นี่เป็นครั้งแรก และมาจากใจจริงๆ ขอโอกาสให้ครูได้ร่วมบวชลูกศิษย์คนนี้เถอะ"

 
 

 ผมมือสั่น ทำอะไรไม่ถูกเลยรับมาด้วยความขอบพระคุณ

 
 

ความรักของทุกๆท่านที่ให้มาในวันนั้น ทำให้ผมซึ่งในคำที่ท่านพูดว่า "แล้วเธอจะรู้ว่าครูหวังดีกับเธอ" นั้นเป็นเช่นไร ไม่มีคำบ่น คำด่า คำสอน ไม้เรียวในวันนั้น คงไม่มีผมในวันนี้ เลยกราบแทบเท้าคุณครูทุกคนที่ให้ความรู้ ให้ชีวิตกับผม ขอบคุณจริงๆครับ คุณครู

 
 

เจออดีต

 
 

เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้ว ผมก็เตรียมจะกลับ แต่ก็ได้เจอกับคุณครูท่านนั้น ที่ไม่ค่อยกินเส้นกันตั้งแต่เด็กๆ ชั่งใจอยู่ว่าจะทำเช่นไร เมื่อธรรมะชนะอธรรม ก็เดินเข้าไป กราบขอขมา ขออโหสิกรรม และให้อโหสิกรรม กับท่าน

 
 

อภัยทาน นี้ประเสริฐจริงๆครับ เพราะทำได้ยากมากๆ ต้องใช้กำลังใจเยอะมาก แต่พอทำได้นั้น ภูเขาที่มองไม่เห็น ความหนักที่ไม่รู้ตัวว่าแบกอยู่เป็นสิบปี (ในชาตินี้) ถูกยกออกไปไม่มีเหลือ ..เบา โล่ง โปร่ง สบาย

และทำให้ผมมองกลับมาที่โรงเรียนอันเป็นที่รักได้อย่างเต็มตา เต็มใจ ไม่มีจุดมัวๆมาขวางไว้อย่างที่เคยเป็น

 
 

วันนั้น ทำให้ผมรู้ว่า บางครั้งความขุ่นเคืองและโทสะ มันกดทับความผ่องใสของใจเราอยู่ ที่แย่ก็คือ บ่อยครั้ง เราไม่รู้ตัวครับช่นนี้แล้ว เรามาฝึกสติกัน เพื่อกั้นกิเลสตัวใหม่ไม่ให้เกิด และ เพื่อกำจัดกิเลสที่เกิดขึ้นแล้วและนอนอยุ่ในใจ (ที่พระเรียก อาสวะ คือ เหมือนตะกอนนอนก้น) ให้ออกจากใจ จิตของเราจะได้ประภัสสร พร้อมเข้าสู่สภาวะธรรมที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นเถอะครับ

 
 

ขอบคุณพี่กาละแมร์ และพี่ไก่ที่ทำให้ผมระลึกได้ถึงวีรกรรมเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ชายคนนี้ที่ได้้สร้างไว้ก่อนบวชครับ ต่อแต่นี้ไป ใครถามผมว่าบวชแล้วได้อะไร เรื่องนี้จะเป็นtop ของคำตอบ เลยครับ

 
 

บุญใดเกิดขึ้นในการเล่า การอ่าน การเขียน เรื่องนี้ ขอยกถวายเป็นอาจาริยะบูชา แต่ครูผู้มีพระคุณทุกๆท่าน ในทุกๆที่ทุกกาลเวลาครับ

 
 

แทน

อนุเสาวรีย์ ตัวกู ของกู

หลงจิต


วันนี้ขณะกำลังนั่งทานก๋วยเตี๋ยวอยู่ จิตมันก็ถลำออกนอกอย่างเมามันส์ครับ รู้ตัวแต่ไม่ได้ดึงกลับ เพราะหลงอยู่ในรสของความคิดที่กำลังเกิด ก็ว่าไหนๆก็จะมีสังขารอยู่แล้วก็ให้มันปรุงให้มันแต่งในฝ่ายดี หรือ ที่พระท่านเรียกว่า ปุญญาภิสังขาร แล้วกันครับ ถ้ามันยังไม่หลุดพ้นจากภพจากชาติ ก็ให้มันเป็นภพชาติที่เป็นสุขคติอันเกิดจากบุญนี้แล้วกันครับ เหมือนที่แม่ผมบอกว่า


" ถ้ามันจะสมมุติ ก็สมมุติให้มันดีแล้วกัน "


ภาพอดีต


ก่อนวิ่งตามรถขายเกี๊ยวป๊อกๆ (ไฮโซมากแทน) มีเพื่อนพึ่งขอคำแนะนำการเรียนต่อที่อังกฤษครับ ก็ได้แนะนำไป พอล่วงเวลามาจิตมันยังไม่ทิ้งเรื่องนี้ครับ กลับวนเวียนไปหาภาพเก่าๆขณะพึ่งไปถึงบ้านนั้นเมืองนั้นได้ไม่นาน ได้เดินกินลมชมบรรยากาศบ้านเมืองผู้ดีอยู่ เห็นอนุเสาวรีย์ เป็นอนุสรณ์สถานให้วีรชนคนกล้าของเค้าอยู่มากมาย ดูยิ่งใหญ่ สงบเงียบ และน่าภาคภูมิใจ


ตามประสาคนคนหนึ่งที่ยังหลงอยู่ในกับดักของกิเลสครับ ก็เกิดจิตที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า 'อหังการ - มหังการ' หรือ ความเห็นผิดว่ามี 'ตัวกู ของกู' เกิดขึ้น มีโมหะแล้วยังไม่พอ เกิดจิตโลภะตามมาติดๆเลย ว่า อยากเป็นคนที่ยิ่งใหญ่เช่นเค้าเหล่านี้บ้าง และ อยากมีใครทำอนุเสาวรีย์เช่นนี้ให้บ้างเมื่อยามลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว


ง่ายๆก็คือ " ถึงตัวจะตาย ก็จะขอฝากลายไว้ในแผ่นดิน "


วีรบุรุษ







แล้วเป็นยังไงล่ะครับ ก็ทุกข์สิครับ เล่นหลงเอาตัวเองไปทาบรัศมีวีรบุรุษของเขาอย่าง Sir Churchill ผู้นำอังกฤษพ้นจากวิกฤตสงครามโลกครั้งที่สองจนได้รับการยกย่องเสมอๆว่า เป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศเค้า ผู้มีคำพูดดีๆที่ผมมักนำมาเตือนสติตนเองไม่ให้ประมาทหลังจากผ่าน
วิกฤตชีวิตในแต่ละช่วงมาได้

ท่านว่า ...


" This is not the end.

It is not even the beginning of the end.

But it is, perhaps, the end of the beginning"

ไตรลักษณ์

แต่แล้ววันเวลาผ่านไป โตขึ้น ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น ได้เข้าใกล้ธรรมะมากขึ้น ก็เริ่มเห็นในความไม่เที่ยงของไตรลักษณ์ ที่ว่า มันเกิด มันมีอยู่แปรปรวน และดับไป

จากที่เคยเห็นในความอลังการ ความน่ามหัศจรรย์ของอนุเสาวรีย์และความยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักรจนเคยชิน ดวงตาก็ค่อยๆเปิดออกจนเห็นสิ่งอื่นๆที่อาจจะเคยเห็น แต่ไม่เคยรับรู้มาก่อน

ความเสื่อมโทรมต่างๆก็เริ่มเห็นตามมา ไปถามเด็กๆอังกฤษตอนนี้ ว่ารู้จังลุง Churchill ไหม อาจจะส่ายหน้ากันเป็นแถว ที่ร้ายกว่า อาจจะนึกว่าถามหาเจ้าตูบ Bulldog เพราะด้วยความที่หน้าตาท่านจริงจัง แล้วสุนัขพันธ์นี้ดันทะลึ่งมามีคุณสมบัติทางกายภาพคล้ายท่าน คนเลยนิยมนำมาตั้งชื่อนี้ จนเหมือนที่บ้านเราเรียกหมาว่า ด่าง ว่า แดงไปแล้ว


ที่ร้ายกว่านั้นคืออนุเสาวรีย์ที่เคยเห็นว่ายิ่งใหญ่ในใจนั้น กลับถูกวัยรุ่นวันโตกลั่นแกล้งเสมอๆ หน้าที่หนึ่งของตำรวจและเทศบาลอังกฤษในเช้าวันเสาร์วันอาทิตย์คือ ต้องมาเอา 'วัสดุตกแต่ง' ออกจากหน้าตาของอนุเสาวรีย์ของวีรบุรุษเหล่านี้แหละครับ ไม่ว่าจะเป็นโคนจราจรสีส้มเอย หรือแม้แต่หญ้าเขียวๆที่มาบรรจงแต่งให้ท่านนายกฯ Churchill จนกลายเป็น Punk เป็นอะไรไปอย่างหาความเคารพมิได้

ถามว่าทำไมต้องวันเสาร์ วันอาทิตย์ ก็พวกเมากันแล้วน่ะสิครับ

เหมือนกับที่พระพุทธองค์ท่านว่าเลยนะครับ ว่า โลกธรรมขาขึ้นอย่าง ยศลาภสรรเสริญสุข มันก็คู่กับโลกกระทำขาลง อย่าง เสื่อมยศเสื่อมลาภนินทาและทุกข์ จริงๆนะครับ

แล้วจะไปอยากได้อยากเป็นอยากมี มันทำม๊าย !!!

(รู้จักแต่ยังไม่รู้แจ้งอีกแล้วเรา รู้แจ้งได้คงละได้แล้ว)


อนุเสาวรีย์ของทุกคน

เรื่องมันคงจบแค่นี้ครับ ถ้าวันก่อนผมไม่ได้มีโอกาสไปกราบเยี่ยมทำบุญกระดูกของบรรพบุรุษที่ต่างจัดกับญาติๆ ผมก็ได้ไปเดินตามป่าช้า หาดูว่ารู้จักของใครบ้างจะได้แบ่งบุญให้ให้เฉพาะเจาะจงอีก หลังจากทำบุญรวมๆให้แล้ว แต่ก็เดินงงๆหลงๆ จึงกลับมาถามญาติๆว่า โกศไหนบ้างที่บรรจุญาติๆเราไว้

คนเฒ่าคนแก่ก็หันมาชี้ให้บอกว่า อันนั้นอันนี้ไงที่เป็น 'อนุเสาวรีย์' บรรจุกระดูกปู่ย่าตาทวด

ใช่แล้วครับ ผมได้ยินไม่ผิด 'อนุเสาวรีย์' !!!

สิ่งที่ผมเคยอยากได้มาประดับแสดงความเคยมีเคยเป็นจของผมมันปรากฏอยุ่ตรงหน้าผมนี้เอง ที่คนกรุงเรียก โกศ เรียกเจดีย์บรรจุกระดูก คนที่นั่นเรียกอย่างเพราะพริ้งว่า 'อนุเสาวรีย์' ที่ใช้แสดงความอาลัย ความเคารพต่อบรรบุรุษของลูกหลาน ที่ไม่ต้องไปเสาะแสวงหา ไม่ต้องไปไขว่ขว้า แต่สามารถได้มาจากใจจริง

แล้วก็เกิดมรณานุสติครับ ว่า เนี่ย

" อยากได้ อยากเป็น อยากมีแล้วไง เอาไปได้ซะที่ไหน สุดท้ายก็เหลือแค่กองฝุ่นกองเถ้า ที่บรรจุอยู่ในกล่องเล็กๆ ป้ายชื่อที่เคยเด่นชัด ความทรงจำ ที่เคยมี มันก็แค่รอเวลาลบเลือกไป คนร่วมสมัยก็ค่อยๆตายจาก เด็กรุ่นหลังๆก็ไม่รู้จัก คนเราก็มีแค่นี้เอง ...

นี่แหล่ะ อนุเสาวรีย์ของทุกคน."


แปะแข็ง

แหม่ บรรยากาศวันนี้มันจบอย่างหดหู่ วังเวงยังไงไม่ทราบ ผมพามาถึงสุสาน เป็นมรณานุสติแล้ว ไม่อยากให้เสียอารมณ์วันสบายๆอย่างวันอาทิตย์ยามบ่าย เลยพาออกจากสุสาน กลับไปลอนดอนอีกครั้งครับ

เชื่อว่าหลายๆท่านคงเคยได้เล่น แปะแข็ง มาในวัยเด็ก หรือ เล่นกับลูกๆหลานๆ มาแล้ว ยังจำความสนุกได้ไหมครับ ฝรั่งมังฆ้องเค้าก็มีเล่นแปะแข็งเหมือนกัน แต่เค้าเรียกว่า อนุเสาวรีย์ หรือ Statue ครับ คือให้สัญญาณ แล้วต้องหยุด Freeze จนกว่าจะได้รับสัญญาณใหม่

แต่... จะเป็นยังไง ถ้าคนเล่นไม่ใช่เด็ก แต่เป็นคนหลากวัย หลายร้อยคน เกิดหยุดกึ๊กพร้อมๆกัน กลางมหานครลอนดอน สดๆร้อนๆเมื่อเดือนที่ผ่านมาครับ...


ตามไปดูกันเลยครับ

http://www.youtube.com/watch?v=XugB_yE_lwc&feature=related


บุญใดเกิด ขอถวายให้วีรบุรุษของชนทั่วโลก ผุ้มีอุปาระคุณ มีประวัติความเสียสละ จนเป็นที่ยอมรับนับถือ และบรรพบุรุษของทุกคนในทุกสถานที่ และกาลเวลา

แทน