ธรรมะสวัสดีครับ
วันนี้ผมเขียนเมล์ฉบับนี้ด้วยใจที่หนักอึ้งเลยทีเดียว
Case I
มันหนักตั้งแต่เห็นข่าวการจากไปของอาจารย์ ABAC ท่านหนีง ที่เลือกที่จะปลิดชีวิตตนเองจากที่สูง เห็นรูปในข่าวชัดเจนว่าเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดี อายุเพียงแค่ 23 ปี การศึกษาระดับปริญญาโท เกียรตินิยมจาก CU ตอนเรียนอยู่ก็ได้เป็นหลีfคณะ ครอบครัวก็มีฐานะ ขับ Benz Sport และมีหน้าที่การงานที่ดี เป็นครูบาอาจารย์เป็นกุศล เรียกว่าแทบจะสมบูรณพร้อมเลยทีเดียว
แต่ในความสมบูรณ์นั้น ก็มีความผิดหวังเรื่องความรัก ซึ่งพัฒนาเป็นทุกข์ เครียด จนถึงที่สุดแห่งความอดทนของหัวใจ จึงตัดสินโดดตึก 10 ชั้นลงมาเสียชีวิต
ข่าวนี้มากระทบ ทำให้ธรรมกระเทือนจริงๆครับด้วยเหตุผลหลายๆประการ
Case II
หลายๆท่านอาจจะจำข่าวได้เมื่อสี่ห้าปีก่อนมีข่าวนักศึกษาสาวจากคณะนิติศาสตร์ กระโดดตึกธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่ เสียชีวิต เธอเป็นคนสวย เรียนดี เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆและคนรอบข้าง แต่ด้วยความกังวลว่าการเรียนของเธอจะไม่ได้ดีอย่างที่เป็นมา ทำให้เครียด จนถึงเลือกที่จะจบชีวิตเช่นนั้น
เธอคนนั้นชื่อ 'อ้อ' เธอเป็นเพื่อนของผมเองครับ หรือจะพูดอย่างโหดร้ายด้วย Tense ของฝรั่ง เธอ'เคย' เป็นเพื่อนของผม แต่ตอนนี้เธอไม่อยู่แล้ว จริงๆแล้วเราไม่ได้สนิทอะไรกันมาก แต่ด้วยความที่โรงเรียนมีนักเรียนไม่มาก จึงทำให้เห็นหน้าตากันตลอด และด้วยเธอเป็นคนสวยจนจะเรียกว่าเป็นดาวก็ได้ เลยทำให้อดชื่นชมในบุญที่เธอสร้างไว้ไม่ได้ ที่ส่งผลให้มีความสมบูรณ์พร้อมในเกือบทุกด้าน ... เหมือนอาจารย์ท่านนั้น
มรณานุสติ
สองเหตุการณ์นี้ทำให้ผมฉุกคิดถึงความตายครับ ว่าช่างมาเคาะประตูเราทุกคนได้อย่างไม่ทันตั้งตัวจริงๆ มิน่าเล่า พระพุทธองค์จึงทรงถามพระอานนท์ว่าระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง และเมื่อพระอานนท์ทูลว่า 7 ครั้ง พระทศพลมิได้โมทนาสาธุการด้วย แถมยังตรัสต่อว่าน้อยไป องค์ท่านเองพระตถาคตนั้นระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกเราควรหมั่นเจริญมรณานุสติให้มาก เพราะเราอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้
และที่สำคัญ หากปราศจากสติแล้ว จิตดวงสุดท้ายที่ออกจากร่าง ที่จะนำเราไปเกิดในภพภูมิใหม่ อาจจะเศร้าหมอง พระองค์ทรงเปิดเผยถึงความลับของความตายและการเกิดใหม่ไว้ว่า
'จิตเตสังกะลิตเฐ ทุกขติปฏิกังขา' เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุกข์คติเป็นอันหวังได้
เช่นนี้แล้วดวงจิตของอาจารย์ท่านนี้ และเพื่อนอ้อ จะต้องได้รับทุกขเวทนาอยู่ในภพใดหนอ !
กลับมาที่ตัวผู้เล่า
ผมเองคุ้นเคยกับความตายอยู่ไม่น้อย ด้วยความที่คุณย่าที่อยู่บ้านเดียวกับผมเป็นหมอ คุณแม่ก็ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จึงวิ่งเข้าวิ่งออกในโรงพยาบาลเห็นความเจ็บความป่วย และบางทีก็แอบวิ่งไปในห้องที่นักศึกษาแพทย์เค้าใช้เรียนกายวิภาคกัน ใช่ครับห้องที่มีอาจารย์ใหญ่ที่นอนอยู่บนโต๊ะเยอะๆนะแหละครับ ผมเข้าไปครั้งแรกตั้งแต่ยังไม่สิบขวบเลย โตมามีจุฬาวิชาการฯใกล้ๆโรงเรียนก็ไปเยี่ยมเยียนห้องเดียวกันของโรงพยาบาลจุฬาฯอยู่ เห็นเลยครับว่าความงามนั้นเพียงแค่ผิวหนังจริงๆ ลอกพรึ่ดออกมาก็แดงๆเละๆเหมือนกันหมด
พอไปอยู่เมืองนอก ก็ได้ช่วยดูแลคนนั้นคนนี้หลายๆเชื่อชาติ ทั้งด้วยความเป็นเพื่อน หรือ ด้วยหน้าที่การงานเพราะผมเป็นผู้ดูแลนักเรียนในหอของมหาวิทยาลัยด้วย แล้วหลายๆเคสที่เจอก็เป็นเรื่องฆ่าตัวตายเช่นนี้ ส่วนตัวเองที่ต้องห่างบ้านไปอยู่คนเดียวเป็นสิบปี ก็มีจังหวะโอกาสที่จิตตก เศร้า ทุกข์ มากๆเช่นกัน
บางทีก็มีแอบแว๊บนะ ว่า ตายไปนี่ก็ดี มันจะได้จบๆเรื่องไปซะที !
หลงผิด
เห็นไหมครับ เมื่อขาดสติก็ถูกโมหะหลอกเอาซะแล้วว่าความตายเป็นปลายทางของชีวิต ลืมไปแล้วเรื่องที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องภพ เรื่องชาติสิ้น หวังหาทางออกจากทุกข์ จนลืมไปว่าไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง
ถึงตรงนี้ สัญญาเกิดระลึกถึงธรรมะของพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่น เป็นบทที่โดนใจอย่างแรง ท่านว่า
' แก้ให้ตกเน้อ
แก้บ่ตกคาพกเจ้าไว้
แก้บ่ได้แขวนคอต่องแต่ง
แก้บ่พ้นคาก้นย่างยาย
คาย่างยายเวียนตายเวียนเกิด
เวียนเอากำเนิดในภพทั้งสาม
ภพทั้งสามเป็นเฮือนเจ้าอยู่ '
ฟังกี่ครั้ง อ่านกี่รอบก็เตือนสติอยู่เสมอว่า ความทุกข์ ความสุข ความยึดมั่นต่างๆนั้น เป็นเหมือนปม ถ้าเราแก้ไม่ออกแล้วเนี่ย มันทำร้ายเรามหันต์ ชาติที่เสวยมันอยู่ก็ทุกข์ ตายไปแล้วมันยังดึงเรามาเกิด เกิดมาแล้วยังส่งผลให้อยู่ไม่เป็นสุขอีก
ถูกธรรมะสอน
เหตุการณ์สองอย่างนี้สอนธรรมผมหลายอย่างนะครับ
- บุญกุศล กรรมวิบาก ส่งผลได้พร้อมกัน
ก่อนเจอธรรมะนั้น นึกว่าบุญบาปเป็นของแยกกัน เหมือนที่ว่าดวงขึ้น ดวงตกครับ คือดีก็ดีเลย ร้ายก็ร้ายเลย แต่ตอนมาดูลาดเลาที่วัดมเหยงคณ์ก่อนจะบวชนั้น เจอพระอาจารย์ประเทือง ผู้ทรงพระสุตันตปิฏกได้อย่างเป็นเลิศ ท่านสอนผมอย่างหนึ่ง และผมขอสรุปด้วยคำของตนเองว่า
' ทุกๆสัมผัสอันเป็นสุขสบาย นั้นเกิดจากบุญกุศล และ ทุกๆสัมผัสอันเป็นทุกข์ไม่สบายนั้นเกิดจากบาป '
เช่นนั่งอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ การที่เราสามารถนั่งอยู่ตรงนั้นได้ สามารถรับทราบถึงความเย็นได้เพราะเส้นประสาทไม่พิการ ไม่มีใครมาไล่ที่ นั้นเป็นผลจากบุญที่ได้สั่งสมไว้ แต่หากในขณะที่นั่งอยู่นั้นเอง มีเสียงดัง หรือ กลิ่นเหม็นเกิดขึ้น เราไม่ชอบใจ นั่นแหละครับ คือ บาปวิบากที่เล่นงานเราอยู่
เห็นไหมครับ สัมผัสทางกาย หรือ โผฏฐัพพะ นั้นรับบุญกุศล แต่ สัมผัสทางหู จมูกนั้น สามรถรับบาปวิบากได้พร้อมๆกัน
อย่างสองกรณีข้างต้นก็เช่นกัน บุญหนุนในทุกๆทาง เว้นแต่วิบากส่งในบางเรื่อง จนเป็นปัจจัยให้เกิดเหตุอันน่าสลด และผลที่ตามมาที่ทุกคนไม่อยากให้เป็น
- บุญบาปมันก็เป็นเช่นนั้นเอง (ตถตา) ดังนั้นจึงไม่ควรประมาท
คือ บุญและบาปก็ส่งผลไปๆมาๆอย่างต่อเนื่อง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีแก่นสาร ดังนั้นแล้ว เราไม่ควรยึดทั้งในบุญและบาป เพราะทางพ้นทุกข์นั้นอยู่เหนือบุญและบาป กล่าวคือ เมื่อบุญส่งเราเป็นสุขก็ไม่ยึดติด และ เมื่อบาปส่งเราเป็นทุกข์ก็ไม่ยึดถือ มีสติตามรู้ดูเบาๆในสภาวะทั้งสองอย่างไม่เข้าไปเสวยอารมณ์นั้นๆ แล้วเดี๋ยวทั้งทุกข์ทั้งสุข มันจะแสดงไตรลักษณ์ดับไปให้เราเห็นต่อหน้าต่อตา
สรุปคือ ให้ละจากบาปเพื่อไม่เพิ่มเครื่องถ่วงขัดขวางการเจริญสติสมาธิ
และหมุ่นสร้างบุญแต่ ก็ไม่หลงมัวเมาในบุญว่าเป็นกุญแจสู่ความหลุดพ้น
สตินี้ต่างหากคือ ทางสายเอก !
- ทุกคนก็มีบุญและกรรม ดังนี้แล้วจะมาคิดร้ายต่อกันทำไม
โลกที่เราอยู่นี้ ชื่นชมในความสามารถ ความงาม ความเป็น ความมี จนกระทั้ง 'หล่อสวยรวยเก่ง' นั้นกลายเป็นคุณลักษณะของสัตตบุรุษไปอย่างผิดเพี้ยน
ทำให้คนไม่หล่อไม่สวยไม่รวยไม่เก่งถูกมองและมองตัวเองว่าเป็นประชากเกรด B ไปเสีย
เดินไปทางไหนก็เห็นแต่สถาบันพัฒนาบุคลิกภาพ พัฒนาศักยภาพ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่น้อยนักที่จะเห็นสถาบันพัฒนาคุณความดีในจิตใจเกิดขึ้น วัด และ สถานที่ปฏิบัติธรรม ซึ่งทำหน้าที่นี้ คนก็เข้ามาน้อยกว่าสถานบันเทิง
เมือเป็นเช่นนี้แล้ว เมล็ดพันธุ์ของความน้อยใจ เสียใจ อิจฉา ริษยา มันก็งอกในจิตใจ ในสังคมที่เต็มไปด้วยการเปรียบเทียบนี้
แต่เหตุการณ์ทั้งสองข้างต้นนี้ ขี้ให้เห็นชัดเลยว่า หล่อสวยรวยเก่งนั้น ก็เป็นเพียงสภาวะธรรมหนึ่ง ที่เกิดจากบุญกุศล และไม่ยั่งยืน ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากสภาวะธรรมนี้ๆอยู่ก็ยังอยู่ในทุกข์ เช่นเดียวกับเรา และความทุกข์นั้น อาจจะมากกว่าคนธรรมดาๆเสียด้วย
น้ำครึ่งแก้ว
ฝรั่งเค้าชอบถามว่า ในแก้วที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งนั้นๆ จริงๆมันเต็มอยู่ครึ่งถ้วย หรือ ว่างอยู่ครึ่งถ้วย ( Half Full - Half Empty) คนส่วนใหญ่มันมองเห็นว่า แก้วของตัวเองนั้นพร่องอยู่ครึ่งหนึ่ง ในขณะที่แก้วของคนอื่นนั้นเต็มอยู่ครึ่งเสมอ มันก็เกิดความทุกข์ ด้วยความอยากเป็นอยากมีอยากได้
ในขึ้นแรกถ้าเรามองได้ซะว่า มันก็ครึ่งแก้วเหมือนกันหมด ไม่ว่างจะมองว่าเต็มหรือว่าง มันก็จะละความอิจฉาริษยา หรือความรู้สึกที่เป็นลบใดๆ เช่น ความโกรธ ความแค้น ลงได้ เพราะในระดับตื้นเราสบายใจที่รู้ว่า Noone's perfect และในระดับลึกเรารู้ว่า เค้า เรา มันก็สัตว์ในสังสารวัฏเดียวกันนี่แหละครับ
เมื่อคิดได้แล้วดังนี้ ก็จะละการเปรียบเทียบที่ทำให้เกิดทุกข์ และส่งผลให้ก้าวสู่ขั้นต่อไปสามารถลดขนาดของแก้วตนเองให้พอดีกับสิ่งที่มีอยู่ได้ เช่นนี้แล้วก็เกิดความสบายใจในความสันโดษนี้เอง
และถ้ายิ่งไปกว่านั้น อาจจะพร้อมที่จะเทน้ำออกจากแก้วของตัวเอง ไปรวมสู่อ่างน้ำใสที่ทุกๆคนสามารถดื่มกินได้เท่ากันหมดโดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ตัวกูของกูหายไปหมดสิ่น
สุดท้าย แก้วก็ไม่จำเป็น เหลือแต่ความว่างๆ ที่ปราศจากทุกข์ มีแต่ความสุข
เป็นไปได้ไหมหนอ ที่พระพุทธองค์ตรัวว่า นิพานัง ปรมัง สุขขัง นิพานัง ปรม สุญญัง คือ นิพานเป็นสุขอย่างยิ่ง และนิพพาน นั้นว่างอย่างยิ่ง เป็นเช่นนี้เอง
บุญใดที่เกิดจากการคิด เขียน อ่าน เล่า ฟัง เมลล์นี้ ขอส่งให้ดวงจิตทั้งสองดวงที่เหตุการณ์ในชีวิตนั้น เป็นธรรมะเตือนใจผู้ที่ยังอยู่ให้หมั่นเจริญสติ และไม่ประมาทในความตายซึ่งอาจจะมาเยื่อนใครก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้
ถ้ายังเสวยวิบากกรรมอยู่ ขอให้บุญนี้หนุนให้เจอแสงสว่างแห่งพระรัตนตรัยโดยไว เพื่อการปฏิบัติอันนำไปสู่ความพ้นทุกข์อันเป็นถาวรเทอญ
แทน
ปล อย่าลืมนะครับ 'มองถูก ลดได้ เทออก ทิ้งแก้ว'
No comments:
Post a Comment