คำนี้คุ้นๆหูไหมครับ ก่อนหรือหลังโดนลงโทษ หรือโดนบ่นว่า คุณครูว่า จะมีคำนี้พ่วงท้ายมาเสมอๆ
เรื่องมีอยู่ว่า ในขณะที่พี่ๆไปสร้างกุศลกัน ผมถูกไข้หวัดฉุดรั้งไม่ให้ออกไปไหนเกินรั้วบ้าน ไม่ฉะนั้นแล้วคงได้แพร่เชื้อหวัดออกไปอีกสามเขตสามอำเภอแน่ๆ
แทนที่จะนั่งดูจิตอย่างที่ผู้รู้ใจควรจะทำ ความเซ็งทำให้เปิดโทรทัศน์หมุนไปหมุนมา ปกติก็ดูข้างนอกไป ดูข้างในไป แต่มาเจอหนัง ชื่อ "มอ 8" ที่พี่กาละแมร์ ที่เราแอบนิยมชมชอบ (ในความบ้า)เล่นเป็นครูมาดเข้ม และพี่ไก่มีสุข สุดหวาน เลยต้องดู แบบหลุดๆซะหน่อย
มอ8 เรื่องย่อ (Spoiler)
ภาพยนต์เรื่องนี้ เป็นเรื่องราวในโรงเรียนสมัยจอมพลท่านหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเข้มในการปกครองความสงบสุขของชาติบ้านเมืองมาก โครงเรื่องคือ ครูและนักเรียนโรงเรียนสตรี ได้รับคำสั้งให้ไปร่วมกับโรงเรียนชายล้วน ในโครงการนำร่องโรงเรียนสหศึกษา ก็เป็นความวุ่นวาย กุ๊กกิ๊ก ตามบทหนังไทยครับ ที่ชอบมากคือ ภาษาฟังรื่นหูดี โบนิดๆ แต่สุภาพเรียบร้อย ชื่นใจดี
เรื่องดำเนินไป จนกระทั่งถึงจุด Climax ที่ครูกาละแมร์ต้องแสดงความเสียสละของความเป็นครู แม้ในใจเองก็ต้องชั่งตวงวัดในการรักษากฏ กับความรักที่มีต่อเด็กๆ จนยอมเป็นผู้ได้รับโทษซะเอง เรียกเอาน้ำตาเอิบได้ไม่น้อยเหมือนกัน
บางท่านไปดูแล้ว อาจจะว่าบทเฉยๆ แล้วทำไม๊ทำไม ทำเอาทิดอ้วนน้ำตาซึมได้ เว่อร์ไปไหม ?
จากหนังสู่ชีวิตจริง (น้องขอโม้)
ก็คงต้องพาพี่ๆ ไปสู่โรงเรียนที่ทำให้ผมเป็นผมได้ทุกวันนี้ครับ ... สาธิต 'ทุมวัน
(โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ วิทยาเขตปทุมวัน - ส.มศว)
ซึ่งเป็นโรงเรียนเล็กๆ ใช้เนื้อที่ของจุฬาฯ ร่วมกับโรงเรียนเตรียมอุดมฯ
ความที่เป็นโรงเรียนเล็กๆ มีนักเรียนอยู่ไม่กี่พันคนนี่แหละครับ ทำให้ช่องว่างระหว่างครูกับนักเรียนค่อนข้างแคบ
ผมเริ่มเข้าโรงเรียนนี้ตอน ม.1 เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เรียกว่าเป็นเด็กเรียนใช้ได้คนนึง คือ ตอนนั้นโรงเรียนนี้รับน.ร.ใหม่ปีละ 400 คน โดยสอบเอง 100 นึง ส่วนโครงการต่างๆอีก 300 ผมบุญดีได้เป็นหนึ่งในร้อยกับเค้าด้วย (เลยไม่ต้องทำสัญญาว่าจะเรียนดี ... มีงี้ด้วยโรงเรียนผม)
ความที่เป็นเด็กอารมณ์ศิลป์ (บางคนว่าเอาแต่ใจ) วิชาไหนผมชอบ ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนซะ ส่วนวิชาไหนไม่ตรงจริตเล๊ย ก็ไม่เอาไม่ทำมันซะเลย ผมเลยสมุดพกออกมาแปลกๆ เช่น ได้วิทยาศาสตร์ท๊อปชั้น (ตอนนั้นเรียนเรืองphysic) แต่เลข(ที่เค้าว่าง่ายกว่า) รุ่งริ่ง จนอาจารย์ต้องเรียนไปคุย ก็ตอบไปตรงๆว่าผมไม่ชอบ
ระดับการเรียนเฉลี่ยนจึงอยู่กลางๆแบบงงๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไร
ต่อเมื่อขึ้นเรียนในระดับม.ปลาย ซึ่งผมเลือกเรียนศิลป์ฝรั่งเศสและบอกลากับคณิตศาสตน์ไป จึงได้บุญหนุน และด้วยความเอาใจใส่ของอาจารยฺ ทำให้เรียนได้ที่หนึ่งของชั้นปีในทุกๆวิชา ยกเว้นวิชาเดียว......ช่ายแล้วครับ.....พละศึกษา (555) ในสมุดพก จึงได้มี 4 เป็นพรืด แต่ติด 2 มาหนึ่งตัวที่อาจารย์ให้มาด้วยความกรุณา ที่สาธิตนั้น ผู้ที่ได้ที่หนึ่งในชั้นปีก็จะได้รับโล่ห์เชิดชูเกียรติ ที่หอประชุมจุฬา ผมเคยแต่นั่งมองเค้า เลยได้โอกาสขึ้นไปรับ เช่นกัน
บางท่านบอกว่า เสียดายที่โล่ห์ต่างๆนั้นไม่ได้เป็น 4 ล้วน เพราะติดพละ ผมกลับมองว่า ได้แค่นี้ดีแล้วพอใจแล้ว แล้วก็สุขใจ มาเรียนทางธรรมจึงได้รู้ว่า ที่ท่านว่า "สันตุฏฐิง ปรมังทานัง - ความรู้จักพอ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง" นั้นเป็นเช่นไร
เอ้าไหนว่าจะเล่าเรื่องครู มาโม้เรื่องตัวเองอยู่ได้ ! แหะๆ ขออโหสิครับ คือ ประสงค์จะปูพื้นไว้ก่อนเลยติดลม
อกุศลกรรมในวัยเด็ก
นั่นแหละครับ การที่ผมเป็นเด็กที่มีพัฒนาการ คงมีสีสันใช้ได้ และตัวใหญ่พอดู เลยสนิทสนมและได้รับความเมตตากับอาจารย์หลายๆท่าน ในขณะเดียวกัน ก็เป็นที่ไม่ชอบใจของอาจารย์บางท่าน โดยที่ผมไม่เข้าใจว่าทำไม สงสัยบุพกรรม หรือ การกระทำอะไรของเราคงไปขัดหูขัดตา
พอเราพ้นจากปกครองของครูท่านที่ไม่ถูกกันมา เพราะเลื่อนชั้นขึ้น เราก็สบาย( ความทุกข์มันไม่จีรังนะครับ) แต่ด้วยความเป็นเด็ก เราแอบแค้นครับ ว่าแหม เขม่นอะไรขนาดนั่น พอเราขึ้นไปรับรางวัลที เราก็ยืดรางวัลใส่ที อยู่หลายครังหลายครา ยอมรับครับ ตอนนั้น สะใจ ! (บาปหนอ บาป)
จนเวลาล่วงเลยไป ผมสอบเข้าได้มหาวิทยาลัยที่เลือกไว้เป็นอันดับหนึ่ง ก็ยังอยู่ระแวกนั้น แถมต่อมายังได้ทุนไปเรียนต่อ เราก็ยังหมั่นกลับไปหาครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ ไม่เคยลืมพระคุณครับ ส่วนความรู้สึกแค้นนั้นหายไปตามกาลเวลา (ไตรลักษณ์) เหลืออยู่ก็คือความรู้สึกว่า อยู่กันคนละโลกเถอะ เจอกันก็เลี่ยงๆซะ
สิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ผมได้โตขึ้น เห็นโลกกว้างมากขึ้น และได้เจอแสงแห่งพระธรรม เมื่ออัญมณีเหตุปัจจัยสุกงอม ผมตัดสินใจถึงเวลาบวช
ลาบวช
เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างพร้อม จึงได้ถือพานมาลัย พร้อมกรรไกร แล้วเดินทางกลับมาที่โรงเรียน มากราบครูบาอาจารย์ โดยเดินไปทั่วโรงเรียน ทุกห้องทุกชั้น กราบขออโหสิกรรม และขอลาบวชเข้าสู่ร่มพระศาสนาฯ
ประสพการณ์ ณ ตอนนั้นบอกไม่ถูกเชียวครับ อารมณ์หลากหลายมาก เช่น
เจออาจารย์พละที่เคยกร้อนผมของผมที่เคยยาวผิดระเบียบ มันแปลกๆจริงๆนะครับที่มาขอให้ท่านปลงผมให้ ในกาลนี้ แต่ที่ขำคือ แต่ก่อนนั้นตอนท่านลงโทษ จะตัดผมไปซะแหว่งเลย แต่พอมาขอให้ตัด ท่านกลับขลิบนิดเดียวเอง แถมทำหน้ายิ้มๆ เหมือนเห็นในความตลกตรงนี้ด้วย
ที่แปลกๆก็มี คือ ที่โรงเรียนจะมีศาลพระเคณศร์อยู่ ซึ่งนักเรียนโรงเรียนเราเคารพบูชามาก เพราะมีหลายเรื่องหลายราวในความศักดิ์สิทธิ และอิทธิปาฏิหารย์ของท่าน วันนั้นผมก็ได้เข้าไปถวายบายศรีขอลาบวช ในขณะที่อธิษฐานลาอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงกึกก้องเลยว่า "แทน แทน แทน" สามครั้ง จนทำให้ผมต้องสะดุ้ง แต่ก็หาที่มาของเสียงไม่ได้
วันนั้น อาจารย์หลายๆท่านก็เปิดกระเป๋าขอร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพ ซึ่งผมตอบไม่กล้ารับเพราะรู้ว่าพระคุณที่ท่านมอบให้นั้น มันมากมหาศาลกว่าเงินจำนวนไหนๆ แต่ท่านก็ยืนยัน มีท่านหนึ่งบอกด้วยเสียงเครือว่า
" ครูไม่ได้แต่งงานไม่มีลูก ไม่มีใครบวชให้ ขอให้ท่านได้ร่วมบวชผมเถอะ "
ผมเลยตอบกลับไปว่า
" ใครว่าครูไม่มีลูก ผมนี่ไงครับลูกชายคนนึงที่จะบวชให้อยุ่นี่ไงครับ"
ภาพน้ำตาที่อาบแก้มของอาจารย์ในวันนั้น ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจผมถึงวินาทีนี้ และระหว่างอยู่ในเพศพระผมได้กลับไปเทศน์ที่โรงเรียน ก็ได้เห็นน้ำตาของอาจารย์ท่านอีกครั้ง
อีกความประทับใจหนึ่งคือ มีอาจารย์ท่านหนึ่ง สอนภาษาอังกฤษ ท่านเป็น คริสต์ Catholic ซึ่งเข้มงวดในศาสนามาก พอผมไปกราบขอให้ปลงผมให้ ท่านก็ยินดี แถมยังร่วมทำบุญมาด้วย ด้วยความที่เกรงว่าจะผิดต่อศาสนาท่าน และเกรงใจ ก็จะไม่ยอมรับ ท่านว่า
" ครูไม่เคยทำบุญอื่นเลยนอกจากในศาสนาคริสต์ นี่เป็นครั้งแรก และมาจากใจจริงๆ ขอโอกาสให้ครูได้ร่วมบวชลูกศิษย์คนนี้เถอะ"
ผมมือสั่น ทำอะไรไม่ถูกเลยรับมาด้วยความขอบพระคุณ
ความรักของทุกๆท่านที่ให้มาในวันนั้น ทำให้ผมซึ่งในคำที่ท่านพูดว่า "แล้วเธอจะรู้ว่าครูหวังดีกับเธอ" นั้นเป็นเช่นไร ไม่มีคำบ่น คำด่า คำสอน ไม้เรียวในวันนั้น คงไม่มีผมในวันนี้ เลยกราบแทบเท้าคุณครูทุกคนที่ให้ความรู้ ให้ชีวิตกับผม ขอบคุณจริงๆครับ คุณครู
เจออดีต
เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้ว ผมก็เตรียมจะกลับ แต่ก็ได้เจอกับคุณครูท่านนั้น ที่ไม่ค่อยกินเส้นกันตั้งแต่เด็กๆ ชั่งใจอยู่ว่าจะทำเช่นไร เมื่อธรรมะชนะอธรรม ก็เดินเข้าไป กราบขอขมา ขออโหสิกรรม และให้อโหสิกรรม กับท่าน
อภัยทาน นี้ประเสริฐจริงๆครับ เพราะทำได้ยากมากๆ ต้องใช้กำลังใจเยอะมาก แต่พอทำได้นั้น ภูเขาที่มองไม่เห็น ความหนักที่ไม่รู้ตัวว่าแบกอยู่เป็นสิบปี (ในชาตินี้) ถูกยกออกไปไม่มีเหลือ ..เบา โล่ง โปร่ง สบาย
และทำให้ผมมองกลับมาที่โรงเรียนอันเป็นที่รักได้อย่างเต็มตา เต็มใจ ไม่มีจุดมัวๆมาขวางไว้อย่างที่เคยเป็น
วันนั้น ทำให้ผมรู้ว่า บางครั้งความขุ่นเคืองและโทสะ มันกดทับความผ่องใสของใจเราอยู่ ที่แย่ก็คือ บ่อยครั้ง เราไม่รู้ตัวครับ เช่นนี้แล้ว เรามาฝึกสติกัน เพื่อกั้นกิเลสตัวใหม่ไม่ให้เกิด และ เพื่อกำจัดกิเลสที่เกิดขึ้นแล้วและนอนอยุ่ในใจ (ที่พระเรียก อาสวะ คือ เหมือนตะกอนนอนก้น) ให้ออกจากใจ จิตของเราจะได้ประภัสสร พร้อมเข้าสู่สภาวะธรรมที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นเถอะครับ
ขอบคุณพี่กาละแมร์ และพี่ไก่ที่ทำให้ผมระลึกได้ถึงวีรกรรมเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ชายคนนี้ที่ได้้สร้างไว้ก่อนบวชครับ ต่อแต่นี้ไป ใครถามผมว่าบวชแล้วได้อะไร เรื่องนี้จะเป็นtop ของคำตอบ เลยครับ
บุญใดเกิดขึ้นในการเล่า การอ่าน การเขียน เรื่องนี้ ขอยกถวายเป็นอาจาริยะบูชา แต่ครูผู้มีพระคุณทุกๆท่าน ในทุกๆที่ทุกกาลเวลาครับ
แทน
No comments:
Post a Comment